The Bridge on the River Kwai

วันนี้มีเรื่องเล่าจากการไปเที่ยวสะพานข้ามแม่น้ำแคว ที่พอกลับมาแล้วนั่งดูหนังเรื่อง “The Bridge on the River Kwai” แล้วต้องร้อง “อ้าวววว” เพราะเรื่องราวในหนังกับความเป็นจริงต่างกันเยอะมาก

หนังเล่าเรื่องตอนสงครามโลกครั้งที่ 2 มีเชลยศึกอังกฤษถูกจับมาอยู่ในค่ายกักกันที่ควบคุมโดยทหารญี่ปุ่น พวกเขาต้องสร้างสะพานรถไฟข้ามแม่น้ำแคว ที่ฮาคือ ผู้บัญชาการเชลยศึกอังกฤษที่ชื่อนิโคลสัน (เล่นโดย อเล็ค กินเนส) ดันไม่ยอมให้นายทหารทำงานหนัก อ้างว่าผิดข้อตกลงเจนีวา เถียงกับผู้บัญชาการค่ายญี่ปุ่นแบบเดือดมาก สุดท้ายเขากลับเอาชนะใจทหารญี่ปุ่นได้ แล้วหันมาสร้างสะพานแบบจริงจัง ทุ่มสุดตัว จนลืมไปว่ากำลังช่วยศัตรู

THE BRIDGE ON THE RIVER KWAI, 1957

ระหว่างนั้น พวกฝ่ายพันธมิตรก็ส่งทีมคอมมานโดแบบลับๆ มาวางระเบิดสะพาน แต่ตอนจะระเบิด นิโคลสันดันเห็นสายระเบิดและพยายามขัดขวาง สุดท้ายเขาถูกยิง ล้มลงทับเครื่องจุดระเบิดพอดี สะพานเลยระเบิดพร้อมกับรถไฟที่ขนทหารญี่ปุ่น จบแบบดรามาแท้ๆ

ตอนไปเที่ยวที่กาญจนบุรี ได้คุยกับลุงคนขับรถและเข้าพิพิธภัณฑ์ข้างๆ สะพาน ถึงได้รู้ว่า…

  • “แม่น้ำแคว” ไม่เคยมีอยู่จริง! ตอนแรกมันชื่อ “แม่น้ำแม่กลอง” ธรรมดาๆ แต่หลังจากหนังดังถล่มทลาย นักท่องเที่ยวเริ่มตามรอยกัน รัฐบาลไทยเลยเปลี่ยนชื่อแม่น้ำช่วงนั้นเป็น “แควใหญ่” ในปี 2503 เพื่อให้มันแมทช์กับในหนัง โคตรเก๋เลย
  • เชลยศึกไม่ได้สร้างสะพานด้วยความเต็มใจแน่นอน พวกเขาโดนบังคับและทรมาน บางคนที่ทำงานไม่ไหวก็ถูกตี ถูกกักอาหาร หรือแย่กว่านั้น คนตายเป็นหมื่นเป็นแสน ทางรถไฟสายนี้เลยได้ชื่อว่า “ทางรถไฟสายมรณะ” ไม่ใช่เรื่องเล่าสวยหรูแบบในหนัง
  • ไม่มีทีมคอมมานโดเท่ๆ มาระเบิดสะพานหรอก ความจริงแล้ว สะพานถูกทิ้งระเบิดจากเครื่องบินฝ่ายสัมพันธมิตรในเดือนกุมภาพันธ์ 1945 เป็นการใช้ระเบิดนำวิถีในยุคแรกๆ ของสงครามด้วย
  • แล้วอีกอย่าง… สะพานที่เห็นทุกวันนี้เป็นเหล็ก ไม่ใช่ไม้! ลุงที่พิพิธภัณฑ์เล่าให้ฟังว่า ญี่ปุ่นขนเอาชิ้นส่วนเหล็กโค้งทั้งหมดมาจากเกาะชวา เพราะตอนนั้นญี่ปุ่นยึดครองอินโดนีเซียอยู่ เขาเลยรื้อสะพานที่นั่นมาประกอบใหม่ที่นี่ ซึ่งตรงนี้ในหนังไม่ได้พูดถึงเลย

ตอนไปกิน “ขาหมูเนื้อนุ่ม” ร้านดังแถวนั้น เจ้าของร้านที่เป็นลูกหลานคนกาญจนบุรีเล่าให้ฟังว่า มีชาวบ้านไทยหลายคนแอบช่วยเหลือเชลยศึก ด้วยนะ บางคนลอบเอาอาหารหรือสมุนไพรรักษาโรคไปให้ เพราะเชลยเจ็บป่วยมาก หลายคนเป็นไข้มาลาเรีย

ที่น่าสนใจคือ หลังสงครามจบ มีเชลยศึกบางคนกลับมาเยี่ยมและตามหาคนที่เคยช่วยพวกเขา เรื่องราวแบบนี้ไม่มีในหนัง แต่เป็นความทรงจำที่ชาวบ้านแถวนั้นยังเล่าต่อๆ กันมา

นั่งจิบกาแฟริมแม่น้ำที่ Cafe du Kwai ระหว่างรอพระอาทิตย์ตกดิน (วิวสวยมาก แนะนำเลย!) และรู้มั้ยหนังเรื่องนี้ไม่ได้ถ่ายที่กาญจนบุรีด้วยซ้ำ แต่ไปถ่ายที่ศรีลังกา! ผู้กำกับบอกว่าวิวที่กาญฯ มันไม่ดราม่าพอสำหรับหนัง ที่ฮาคือตอนนี้กลายเป็นว่าสะพานที่กาญฯ กลับดังกว่าที่ในศรีลังกาซะอีก

เพลงที่เชลยศึกผิวปากในหนัง (Colonel Bogey March) กลายเป็นสัญลักษณ์ของหนังเรื่องนี้ไปแล้ว ตอนเดินเที่ยวแถวสะพาน ยังมีคนมาเล่นเพลงนี้เป็นรอบๆ เลย

ถ้าพวกคุณมาเที่ยวที่นี่ ขอแนะนำให้พักที่ Mont du Kwai Resort นะ อยู่ใกล้สะพานพอดี ตอนเช้าตื่นมาเห็นวิวแม่น้ำเลย รีสอร์ตเป็นแบบแคปซูลไฮเทคมาก แนว Futuristic แถมอาหารเช้าเขาอร่อยมาก

หนังเรื่องนี้เก่าแล้วนะ (ปี 1957) แต่มันคลาสสิคมาก ชนะออสการ์ตั้ง 7 รางวัล! ถ้าดูเสร็จแล้วมาเที่ยวที่สะพานจริง รับรองว่าประสบการณ์จะสนุกขึ้นอีกเท่าตัว

ชอบประโยคตอนจบหนังมาก “Madness! Madness… madness!” สะท้อนความไร้สาระของสงคราม สุดท้ายไม่มีใครได้อะไร มีแต่ความสูญเสีย

ยืนอยู่บนสะพานข้ามแม่น้ำแควตอนพระอาทิตย์ตก ฉันรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงกระซิบของคนในอดีต มันไม่ใช่แค่สะพานเหล็กเก่าๆ แต่มันคือบทเรียนของมนุษยชาติ ว่าในยามที่โลกเต็มไปด้วยความโหดร้าย ยังมีความเมตตาเล็กๆ น้อยๆ ที่ยังอยู่

ถ้ามีโอกาสไปกาญจนบุรี ต้องไม่พลาดพิพิธภัณฑ์ทางรถไฟไทย-พม่า และสุสานทหารนะ มันทำให้เราเข้าใจประวัติศาสตร์มากขึ้น แล้วก็อย่าลืมไปตอนเย็นๆ แสงสวยมาก ถ่ายรูปออกมาสวยเว่อร์